เคยได้ยินเรื่องกฏหมายคาร์ซีทไหมค่ะ คิดว่าควรมีไหม แล้วสำคัญหรือเปล่า สำหรับฉันคิดว่าควรมีและสำคัญมากค่ะ เพราะระหว่างนั่งรถเดินทางกลับบ้าน ฉันต้องนั่งไป เสียวไป กับรถข้างหน้าที่ปล่อยให้เด็กตัวเล็กๆ นั่งกันเองที่กระบะด้านหลัง โดยไม่มีผู้ปกครองหรือผู้ใหญ่ดูแล คนจิตใจอ่อนไหวง่ายอย่างฉันดูแล้วก็เผลอจินตนาการว่า หากเกิดอุบัติเหตุขึ้นเด็กๆจะเป็นอย่างไร นอกจากนั้นยังเผลอตำหนิผู้ใหญ่ที่นั่งอยู่ข้างในไม่รู้สึกอะไรบ้างหรอ ทำไมถึงได้ปล่อยเด็กๆให้นั้งกันเองอย่างนี้ เขาจะรู้ไหมน่ะว่า ในปี 2546-2556 ‘อุบัติเหตุจราจร’ เป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 2 ของเด็กไทยรองลงมาจากการจมน้ำเลย
เพราะผู้ใหญ่ปล่อยปละละเลย และหละหลวมอย่างนี้จึงต้องมีกฏหมาย ‘คาร์ซีท’ เพื่อคุ้มครองเด็กๆให้ปลอดภัยขึ้น ซึ่งในไทยพึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 17 สิงหาคม 2566 ซึ่งกฏหมาย ‘คาร์ซีท’ ในประเทศพัฒนาแล้วมีการนำกฏหมายนี้กำหนดใช้นานแล้ว วันนี้จึงอยากนำเอากฏหมาย‘คาร์ซีท’ จากประเทศต่างๆมาเปรียบเทียบเพื่อให้เห็นความแตกต่างของแต่ละประเทศ เป็นอย่างไรนั้นมาดูกันเลยค่ะ
กฎหมายการบังคับใช้คาร์ซีท ในไทย
ราชกิจจานุเบกษา ประกาศ พระราชบัญญัติ จราจรทางบก (ฉบับที่ 13) พ.ศ. 2565 เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2565 โดยกำหนดให้เด็กอายุไม่เกิน 6 ปี ที่นั่งในรถ ต้องมีคาร์ซีท ซึ่งมี 2 แบบ คือ
- ที่นั่งนิรภัยชนิดนั่งหันไปทางด้านหลังรถและที่นั่งนิรภัยชนิดนั่งหันไปทางด้านหน้ารถ
- ที่นั่งพิเศษแบบที่นั่งเสริมที่ไม่มีพนักพิง (Booster Seat)
โดยทั้ง 2 แบบดังกล่าว ต้องมีระบบยึดเหนี่ยวตามมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ขณะที่ รถรับจ้าง รถสาธารณะ ได้รับการยกเว้น ไม่ต้องนั่งในที่นั่งนิรภัยสำหรับเด็ก ส่วนกรณีที่ประชาชนไม่มีคาร์ซีท แต่มีเด็กอายุไม่เกิน 6 ปี นั่งในรถด้วย จะต้องปฏิบัติตามหลัก 3 ข้อที่กำหนด จึงจะถือว่าปฏิบัติถูกต้องตามกฎหมายและได้รับยกเว้นไม่ต้องมีคาร์ซีท ดังนี้
- ขับรถด้วยความเร็วช้า โดยคำนึงถึงความปลอดภัย และต้องขับชิดซ้าย
- ให้เด็กนั่งในที่นั่งโดยสารตอนหลัง / กรณีรถกระบะ หรือกึ่งกระบะให้นั่งโดยสารตอนหน้าได้ แต่ห้ามนั่งท้ายกระบะ
- จัดให้มีผู้ดูแลเด็กในขณะโดยสาร หรือให้เด็กรัดเฉพาะเข็มขัดรัดหน้าตัก (อย่างใดอย่างหนึ่ง)
ผู้ใดฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติตามมาตรา 123 วรรค 1 ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 2,000 บาท
กฎหมายการบังคับใช้คาร์ซีท ในญี่ปุ่น
กฎหมายของญี่ปุ่นไม่ได้เข้มงวดเกี่ยวกับกฎเกณฑ์ประเภทของคาร์ซีท ที่ใช้และตำแหน่งที่นั่งมากนัก แต่กฎหมายมีแนวทางให้ปฏิบัติตาม โดยให้ใช้คาร์ซีทแบบหันหน้าไปทางด้านหลัง (Rear-Facing Car Seat) จนกว่าเด็กจะอายุครบ 2 ปี หรือมีน้ำหนักไม่เกิน 9 กิโลกรัม (20 ปอนด์) ส่วนคาร์ซีทแบบหันไปทางหน้ารถยนต์ (Forward Facing Car Seat) ให้ใช้สำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 4 ปี หรือมีน้ำหนักไม่เกิน 18 กิโลกรัม (40 ปอนด์) และเบาะเสริม ( Booster Seat) สำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 8 ปี และมีน้ำหนักไม่เกิน 36 กิโลกรัม (80 ปอนด์) ฝ่าฝืนมีโทษปรับ ไม่มีค่าปรับ แต่จะถูกหัก 1 คะแนน กรณีนั่งในแท็กซี่หรือรถโดยสาร ไม่จำเป็นต้องมีคาร์ซีท
กฎหมายการบังคับใช้คาร์ซีท ในสิงคโปร์
อนุญาตให้ใช้คาร์ซีทประเภทแบบหันหน้าไปทางด้านหลังของรถยนต์ (Rear-Facing Seat)กับเด็กเล็กอายุไม่เกิน 9 เดือน หรือมีน้ำหนักตัวไม่เกิน 22 ปอนด์ ส่วนคาร์ซีทแบบหันไปทางหน้ารถยนต์ (Forward-Facing Seat) ใช้กับเด็กอายุไม่เกิน 4 ปี หรือมีน้ำหนักตัวไม่เกิน 39 ปอนด์ และเบาะนั่งเสริม (Booster) ใช้กับเด็กอายุไม่เกิน 6 ปี มีน้ำหนักตัวไม่เกิน 55 ปอนด์ และส่วนสูงไม่เกิน 135 เซนติเมตร ในกรณีที่ผู้ปกครองไม่ปฏิบัติตามกฎหมายจะเสียค่าปรับสูงถึง 1,000 ดอลลาร์สิงคโปร์และจำคุก 3 เดือน ไม่ต้องใช้คาร์ซีทในรถแท็กซี่ เพราะแท็กซี่ได้รับการยกเว้นด้วยกฎหมายว่าด้วยการควบคุมเด็ก สำหรับเด็กที่ความสูงต่ำกว่า 135 ซม. สามารถนั่งในเบาะหลังได้
กฎหมายการบังคับใช้คาร์ซีท ในแคนาดา
ในแคนาดาแต่ละรัฐจะมีกฎหมายคาร์ซีทและ Booster Seat ที่ต้องปฏิบัติแตกต่างกันไปในแต่ละรัฐ ตัวอย่างเช่น รัฐอัลเบอร์ตา กำหนดให้ใช้คาร์ซีทกับเด็กอายุ 6 ปี หรือมีน้ำหนักอย่างน้อย 18 กิโลกรัม (40 ปอนด์) ส่วนกฎหมายที่นั่งเสริมยังไม่มี ส่วนรัฐบริติชโคลัมเบียกำหนดให้คาร์ซีทแบบหันหน้าเข้าหาเบาะ (Rear-Facing) กับเด็กอายุอย่างน้อย 1 ปี หรือมีน้ำหนัก 9 กิโลกรัม (20 ปอนด์) ส่วนกฎหมายที่นั่งเสริมให้ใช้จนเด็กสูงถึง 145 เซนติเมตรหรืออายุ 9 ปี และรัฐแมนิโทบาให้ใช้คาร์ซีทหรือเบาะนั่งเสริมให้เหมาะสมกับอายุ น้ำหนัก และส่วนสูงของเด็ก โดยเบาะนั่งเสริมให้ใช้จนเด็กสูงถึง 145 เซนติเมตร หรือมีน้ำหนักถึง 36 กิโลกรัม (80 ปอนด์) หรืออายุ 9 ปี
กฎหมายการบังคับใช้คาร์ซีท ในฟิลิปปินส์
คาร์ซีท ที่ได้รับอนุญาตจะต้องได้รับเครื่องหมายมาตรฐานของประเทศฟิลิปปินส์ โดยคาร์ซีทประเภทแบบหันหน้าไปทางด้านหลังของรถยนต์ (Rear-Facing Seat) และแบบหันไปทางหน้ารถยนต์ (Forward-Facing Seat) ห้ามเด็กอายุต่ำกว่า 12 ปีใช้ ส่วนน้ำหนักและส่วนสูงของเด็กตามที่ผู้ผลิตระบุ ส่วนคาร์ซีทประเภทเบาะนั่งเสริม (Booster) บังคับใช้กับเด็กไม่เกินอายุไม่เกิน 12 ปี และส่วนสูงไม่เกิน 150 เซนติเมตร ค่าปรับกรณีฝ่าฝืนโดยไม่ได้ให้เด็กใช้ Car Seat หรือเบาะนั่งเสริมจะถูกปรับเป็นเงินจำนวน 1,000 เปโซสำหรับความผิดครั้งแรก และ 2,000 เปโซสำหรับความผิดครั้งที่สอง และ 5,000 เปโซสำหรับความผิดครั้งที่สาม นอกจากนี้ยึดใบอนุญาตขับรถยนต์ 1 ปี ในกรณีหากพบว่ามีการปลอมแปลงเครื่องหมายมาตรฐานฟิลิปปินส์จะถูกปรับเป็นเงิน 50,000 – 100,000 เปโซ ไม่ต้องใช้คาร์ซีทในรถแท็กซี่
กฎหมายการบังคับใช้คาร์ซีท ในมาเลเซีย
กฎหมายฉบับใหม่มีผลบังคับใช้ในเดือนมกราคม 2020 โดยอนุญาตให้ใช้คาร์ซีทประเภทแบบหันหน้าไปทางด้านหลังของรถยนต์ (Rear-Facing Seat)กับเด็กเล็กอายุไม่เกิน 18 เดือน หรือมีน้ำหนักตัวไม่เกิน 29 ปอนด์ ส่วนคาร์ซีทแบบหันไปทางหน้ารถยนต์ (Forward-Facing Seat) ใช้กับเด็กอายุไม่เกิน 4 ปี หรือมีน้ำหนักตัวไม่เกิน 40 ปอนด์ และเบาะนั่งเสริม (Booster) ใช้กับเด็กอายุไม่เกิน 7 ปี และส่วนสูงไม่เกิน 135 เซนติเมตร ในกรณีที่ผู้ปกครองไม่ปฏิบัติตามกฎหมายจะเสียค่าปรับ 2,000 ริงกิต ไม่ต้องใช้คาร์ซีทในรถแท็กซี่

กฎหมายการบังคับใช้คาร์ซีท ในอังกฤษ
ในสหราชอาณาจักร กฎหมายบังคับให้ผู้ขับขี่และผู้โดยสารคาดเข็มขัดนิรภัยตั้งแต่ปี 1987 ส่วนการบังคับใช้กฎหมายคาร์ซีตสำหรับเด็ก เริ่มใช้อย่างเป็นทางการเมื่อปี 2006 โดยกำหนดให้เด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี จะต้องใช้คาร์ซีตแบบใดแบบหนึ่ง เว้นแต่ว่าเด็กจะมีความสูงเกิน 135 ซม.ขึ้นไปขึ้นอยู่กับน้ำหนักของทารกและเด็กน้อยกว่า 13 กก. ใช้แบบหันไปด้านหลัง 9 กก.- 18 กก ใช้แบบหันไปด้านหลัง หรือด้านหน้าก็ได้ 15 กก. – 36 กก. ใช้แบบหันไปด้านหลัง แบบหันไปด้านหน้า หรือเบาะเสริมได้ ฝ่าฝืนมีโทษปรับ £500 (21,000 บาท) หากไม่มีเบาะนั่งนิรภัยและรัดเข็มขัดขณะขับรถกรณีนั่งในแท็กซี่ หากผู้ขับไม่มีเบาะนั่งสำหรับเด็กไม่ต้องใช้คาร์ซีทได้แต่ต้องนั่งที่เบาะหลังเท่านั้น หากเป็นรถโดยสารอื่นๆ อย่างมินิบัส รถโค้ช หรือรถตู้ ผู้ปกครองต้องหาเบาะนั่งนิรภัยสำหรับเด็กด้วย
กฎหมายการบังคับใช้คาร์ซีท ในสหรัฐอเมริกา
สหรัฐฯ มีคำแนะนำให้ใช้คาร์ซีทตั้งแต่ปี 1983 มีการศึกษาพบว่า ที่นั่งนิรภัยสำหรับเด็กจะลดความเสี่ยงต่อการตายในเด็กทารกและเด็กอายุ 1-4 ปี ถึง 69% และลดความเสี่ยงการตายในเด็กอายุมากกว่า 5 ปี ได้ 45%แต่ละรัฐจะมีกฎหมาย คาร์ซีทสำหรับเด็กและนักเดินทางที่ต้องปฏิบัติแตกต่างกันไปในแต่ละรัฐ ตัวอย่างเช่นรัฐเซาท์ดาโคตากำหนดให้มีคาร์ซีทสำหรับเด็กสำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 4 ปีและมีน้ำหนักน้อยกว่า 40 ปอนด์ในขณะที่รัฐเทนเนสซีกำหนดให้มี คาร์ซีท สำหรับเด็กที่มีอายุน้อยกว่า 8 ปีและรวมถึงมีข้อกำหนดสำหรับคาร์ซีทแบบหันหน้าไปทางด้านหลังของรถยนต์ (Rear-Facing Seat) แบบหันไปทางหน้ารถยนต์ (Forward-Facing Seat)และแบบเบาะนั่งเสริม (Booster) คาร์ซีททั้งหมดในตลาดต้องผ่านข้อกำหนด(รวมถึงการทดสอบการชน) ของ FMVSS 213โดยสถาบันประกันภัยบนทางหลวงจะจัดทำตารางกฎหมายของรัฐทั้งหมด ในรัฐส่วนใหญ่การเดินทางบนแท็กซี่ได้รับการยกเว้นจากกฎหมายคาร์ซีท ยกเว้นรัฐแคลิฟอร์เนีย ฝ่าฝืนมีโทษปรับ สูงสุด $250 (8,700 บาท) ต่อครั้ง ขึ้นอยู่กับแต่ละรัฐกำหนด
กฎหมายการบังคับใช้คาร์ซีท ในสเปน
ถ้ามีเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปีและสูงน้อยกว่า 135เซนติเมตรอยู่บนรถยนต์ จำเป็นต้องใช้คาร์ซีทที่ได้รับการรับรองจากUN R44/R129 ตรงเบาะหลังของรถยนต์ ในกรณีที่รถยนต์บางคันมีเพียงสองที่นั่ง หรือไม่สามารถใส่คาร์ซีท ที่เบาะหลัง สามารถติดตั้งคาร์ซีทที่เบาะหน้าได้โดยที่ถุงลมนิรภัยต้องไม่ทำงาน หากคุณพ่อคุณแม่ถูกจับได้โดยไม่มี คาร์ซีท ในรถยนต์ตำรวจจะขอให้คุณรอจนกว่าจะมีคนนำคาร์ซีทมาให้หรือจะพาเด็กไปขึ้นรถยนต์หรือแท็กซี่อีกคันที่มีคาร์ซีทก็ได้ ค่าปรับเมื่อทำผิดกฎหมายคาร์ซีทประมาณ 300 ยูโร
เป็นไงบ้างค่ะ จากข้อมูลเหล่านี้เราจะเห็นได้ว่า กฏหมายคาร์ซีท ไม่ใช้กฏหมายใหม่ แต่เป็นกฏหมายที่หลายๆประเทศ ได้กำหนดให้ใช้มานานแล้ว เพื่อคำนึงถึงความปลอดภัยของเด็กๆ เราจะเห็นได้ว่าแต่ละประเทศอาจจะมีข้อแตกต่าง ของกฏหมายพียงเล็กน้อย แต่มีสิ่งหนึ่งที่ทุกประเทศได้กำหนดคล้ายๆกันคือ ไม่ต้องใช้คาร์ซีทในรถแท็กซี่นั้นเพราะรถโดยสารไม่สะดวกที่จะต้องเตรียมคาร์ซีทหลายๆขนาดให้ผู้โดยสารนั้นเอง สำหรับกฏหมายที่เป็นสากลนี้ ได้รับการยอมรับจากทั่วโลก ประเทศไทยของเราเองก็ควรยอมรับ ตระหนัก และปฏิบัติร่วมกันค่ะ เพื่อความปลอดภัยของเด็กๆของเราทุกคน