ทุกคนรู้ไหมตอนนี้รอบข้างฉันมีแต่คนพูดถึงเรื่องของคาร์ซีท อาจเพราะมีหลายคนพึ่งถอยรถใหม่มา อยากหาอุปกรณ์ที่ใช้เพื่อความปลอดภัยของลูกๆ จึงมีการตั้งวงสนทนา พูดคุยถึงเรื่องคาร์ซีทกัน คาร์ซีทคืออะไร จำเป็นแค่ไหน จะเลือกซื้อแบบไหนดี มีกี่แบบ ยี่ห้อไหนดี ราคาเท่าไหร่ สามารถซื้อได้ที่ไหน เป็นคำถามที่ทุกคนผลัดกันถาม ผลัดกันตอบตามความรู้ ความเข้าใจที่มี แต่มีเรื่องหนึ่งที่ฉันสังเกตว่าไม่มีใครถามถึงเลย นั้นคือความเป็นมาของเจ้าคาร์ซีทนี้ คาร์ซีทเอ๋ยเจ้ามาจากไหนหนอ ฉันเกิดอยากจะรู้ แล้วคุณละค่ะอยากรู้หรือเปล่า วันนี้ฉันจึงจะมาพูดถึงประวัติความเป็นมาของคาร์ซีท จะเป็นอย่างไรนั้นมาดูกันเลย
สรุปบทความจากเว็บไซต์ TNN ONLINE ในหัวข้อ “เหลียวหลัง แลหน้า เปิดประวัติ ‘คาร์ซีท’ จากสหรัฐฯ สู่ไทย เราพร้อมแล้วหรือยัง สำหรับเทคโนโลยีความปลอดภัยนี้ ?” บทความได้กล่าวถึงประวัติความเป็นมาของคาร์ซีทในสหรัฐอเมริกาว่าเดิมทีก่อนที่จะมีการคิดค้นคาร์ซีทขึ้นอย่างทุกวันนี้ พ่อแม่ชาวสหรัฐ จะใช้เบาะนั่งธรรมดาในรถยนต์ แล้วปรับเบาะให้ราบลงแล้วใช้เข็มขัดรัดบริเวณเอวของเด็กไว้ เพื่อยึดตัวเด็กไม่ให้ขยับ ไม่ได้คำนึงถึงความปลอดภัยมากนัก แม้ในปี 1933 บริษัทบันนี แบร์ คอมปานี (Bunny Bear Company) ของสหรัฐฯ คิดค้นที่นั่งให้กับเด็กในรถยนต์ออกมา แต่ก็เป็นเพียงเพื่อห้ามเด็กๆขยับ หรือเคลื่อนที่ในรถยนต์ จึงยังไม่ใช่เพื่อความปลอดภัยเท่าไหร่นัก
จนกระทั่ง 29 ปีต่อมาในปี 1962 จีน เอมส์ (Jean Ames) นักออกแบบชาวสหราชอาณาจักร คิดค้นที่นั่งเด็กออกมาโดยออกแบบให้เด็กหันหน้าเข้าหาเบาะรถยนต์ในทิศทางตรงข้ามกับที่รถเคลื่อนที่ไปเป็นครั้งแรก ซึ่งนอกจากป้องกันไม่ให้เด็กขยับหรือเคลื่อนที่แล้ว ยังคำนึงถึงความปลอดภัยของเด็กด้วย และในปีเดียวกัน เลน ริฟคิน (Len Rivkin) นักประดิษฐ์ชาวสหรัฐฯ ก็ออกแบบคาร์ซีทขึ้นมาเหมือนกัน เพียงแต่ของเขานั้นออกแบบโดยให้ที่นั่งที่มีโครงสร้างเป็นเหล็กชิ้นแรก และเริ่มการใช้หัวเข็มขัดนิรภัย แบบที่ใช้ในของผู้ใหญ่ แต่ถึงกระนั้นคาร์ซีทรุ่นแรกๆของทั้งสองคนก็ยังไม่ได้มีมาตรฐานความปลอดภัยเทียบเท่ากับที่ใช้ในปัจจุบัน ซึ่งก็คงเป็นเรื่องปกติ เพราะสิ่งใดๆก็ตามแต่ไม่อาจจะสร้างให้คุณภาพที่ดีหรือสมบูรณ์ได้ในครั้งแรกๆ แต่มันก็จะค่อยๆดีขึ้นได้หากยังมีการพัฒนา
หลังจากนั้นคาร์ซีทก็ยังมีการออกแบบและพัฒนาอีกเรื่อยๆจากหลายๆบริษัท เช่น บริษัทรถยนต์ฟอร์ด (Ford) ของสหรัฐฯ เป็นผู้ผลิตรายแรกที่เปิดตัวคาร์ซีทรุ่น แอสโตร-การ์ด (Astro-Guard) โดยใช้สายรัดแบบสี่จุด ทำให้เด็กอยู่กับที่ โดยฟอร์ดปรับปรุงการออกแบบเพิ่มเติม จนเมื่อปี 1965 ฟอร์ดก็เปิดตัวคาร์ซีทรุ่น ทอต-การ์ด (Tot-Guard) ซึ่งมีพื้นผิวเป็นพลาสติกมีรูปร่างเหมือนกล่องที่ช่วยพยุงร่างกายส่วนบนของเด็กไว้ นอกจากนั้นบริษัทจีเอ็ม (General Motors) ของสหรัฐฯ ก็เปิดตัวคาร์ซีทรุ่น เลิฟ ซีทส์ (Love Seats) ในปี 1969 โดยมีทั้งขนาดสำหรับทารกและเด็ก โดยเลือกใช้วัสดุที่ดีขึ้นอย่างโพลีโพรพีลีนและบุด้วยโฟมยูรีเทน ทำให้มีน้ำหนักเบา แต่แข็งแรงทนทานยิ่งขึ้น แต่ก็ยังไม่ได้มาตราฐานเท่าที่ควร

คาร์ซีทยังคงมีการพัฒนาขึ้นอีกเรื่อยๆเหมือนเดิม จนประมาณ 31 ปีต่อมาก็มาถึงยุคทองของคาร์ซีท นั้นคือปี 2000 เป็นปีที่คาร์ซีทมีการเปิดตัวที่หลากหลายยิ่งขึ้นไม่ว่า คาร์ซีทสำหรับเด็กทารกโดยเฉพาะ, คาร์ซีทแบบ 3 in 1 ซึ่งสามารถปรับใช้กับเด็ก 3 ช่วงวัย คือ ทารก เด็กเล็ก และเด็กโต รวมถึงคาร์ซีทสำหรับระบบขนส่งมวลชน เป็นต้น ความหลากหลายที่ว่านี้ส่งผลให้คาร์ซีทได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม และเมื่อปี 2002 รัฐบาลกลางสหรัฐฯ ออกข้อบังคับให้รถทุกคันจะต้องมีการติดตั้งระบบ LATCH (Lower, Anchors & Tethers for Children) ซึ่งกำหนดให้มีจุดยึด ทำให้ผู้ปกครองสามารถติดตั้งและถอดพับเก็บคาร์ซีทจากยานพาหนะต่างๆได้อย่างง่ายดาย
ปัจจุบันคาร์ซีทยังคงมีการปรับปรุงและพัฒนาคุณภาพ ความปลอดภัยต่างๆให้มากขึ้นเรื่อยๆ จากการอ่านประวัติความเป็นมาของคาร์ซีททำให้เราเห็นว่า ความพยายามเป็นเรื่องดี พยายามคิดค้น พัฒนาสิ่งต่างๆไม่หยุดจะทำให้คนในอนาคตเป็นคนโชคดีที่สามารถใช้สินค้าที่มีคุณภาพมากกว่าคนในยุคแรกๆ
เป็นไงบ้างค่ะสำหรับประวัติความเป็นมาคร่าวๆ ที่จะทำให้เราได้เห็นการเปลี่ยนแปลง ปรับปรุงและพัฒนาคาร์ซีทจากรุ่นแรกๆ ที่มุ่งเพียงไม่ให้เด็กขยับหรือเคลื่อนที่ในระหว่างที่ขับรถ ไปจนถึงสามารถป้องกันหรือลดการบาดเจ็บในเด็กได้ แม้ไม่มีใครรับประกันได้ว่าเมื่อเกิดอุบัติเหตุขึ้นจะเป็นอย่างไร แต่การที่เราเตรียมความปลอดภัยให้ลูก นั้นก็ทำให้เราไม่ต้องมารู้สึกผิดภายหลัง “คำว่าถ้ารู้อย่างนี้……..” จะได้ไม่ถูกพูดถึงในวันหนึ่ง วันนี้ฉันจึงไม่แปลกใจเลยที่คนรอบข้างฉัน จะหันมาให้ความสำคัญกับเรื่องของคาร์ซีท จนตั้งวงสนทนาเรื่องนี้กัน เป็นวงสนทนาที่มีประโยชน์และช่วยให้ง่ายในการตัดสินใจเลือกซื้อคาร์ซีท แล้วคุณละคะอยากมีวงสนทนาเหมือนกับพวกเขาไหม หากคุณมีรถและมีลูกมาซื้อคาร์ซีทกันเถอะค่ะ เพื่อลูกน้อยแก้วตาดวงใจของเราทุกคน