มีหลายครั้งหลายคราที่เราจะได้ยินข่าวอุบัติเหตุเกี่ยวกับรถที่มีเด็กร่วมนั่งอยู่ด้วย มีหลายข่าวที่จบลงอย่างน่าสะเทือนใจ ไม่ว่าจะเป็นข่าวกระบะชนขอบทาง เด็ก 6 ขวบทะลุกระจกตกทางด่วนเสียชีวิต หรือเป็นข่าวที่ลูกวัย 7 เดือน กระเด็นตกกระบะ หลังจากที่มีรถเบนซ์มาพุ่งชนท้าย ซึ่งทำให้เด็กที่นั่งอยู่บนตักของคุณยายกระเด็น ออกมาจากหน้าต่างตกที่พื้นถนน แต่โชคดีที่เด็กน้อยรอดชีวิตมาได้ โดยคุณแม่ของเด็กได้ให้บอกเล่าเรื่องราวพร้อมฝากเป็นอุทาหรณ์แก่พ่อแม่ที่มีลูกเล็กๆร่วมเดินทางด้วย โดยเธอได้เขียนลงในเฟสบุคว่า
“ ถึงคนที่กำลังบ่นเรื่องการบังคับใช้คาร์ซีทอยู่ จากใจแม่คนนึงที่เคยพลาดแค่ 1 วันที่ไม่ได้ให้ลูกนั่งคาร์ซีท เพราะอยู่ในรถที่เอาขับมาทำงาน รถที่ดารินไปไม่มีคาร์ซีท โดยยายอุ้มป้อนนมอยู่ รถคุณตาโดนรถคันอื่นชนท้าย ทำให้พลิกคว่ำ ดารินหลุดออกนอกกระจกมากลางถนน ไม่ใช่เด็กทุกคนจะรอดมาได้เหมือนดาริน อ้อมกอดแม่ปลอดภัยแต่ไม่ใช่ในรถ เราขับดี เราขับระวัง แต่คนอื่นเค้าระวังไหม? ฝากไว้นะคะ ขอให้ลูกๆทุกบ้านปลอดภัย ”
จากโพสของเธอทำให้เราตระหนักและเห็นความสำคัญของการให้ลูกนั่งคาร์ซีทในช่วงเวลาที่ออกเดินทางด้วยรถยนต์ วันนี้เราจึงอยากแนะนำ 4 ข้อควรรู้เกี่ยวกับคาร์ชีท มีอะไรบ้างนั้น มาดูกันเลย
คาร์ซีทคืออะไร ทำไมถึงต้องใช้
คาร์ซีท คืออุปกรณ์เสริม ใช้สำหรับให้เด็กนั่งโดยสารบนรถ เพื่อเพิ่มความปลอดภัย และลดการสูญเสีย เป็นอุปกรณ์เสริมที่สำคัญมากๆ เป็นเบาะนั่งนิรภัยสำหรับเด็กที่จะทำให้ผู้ใหญ่สามารถขับรถได้อย่างสบายใจและหายห่วง แม้บางคนจะบอกว่าการกอดสำคัญต่อเด็กมากกว่า แต่ก็คงเหมือนดั่งที่คุณแม่ได้กล่าวไว้ว่า “ อ้อมกอดแม่ปลอดภัยแต่ไม่ใช่ในรถ ”นั้นเพราะเมื่อเกิดอุบัติเหตุต่างๆตัวแม่เองก็จะได้รับการกระแทก ควบคุมตัวเองไม่ได้ ลูกจึงเสี่ยงมากๆที่จะเกิดอันตราย อีกทั้งบางคนยังกล่าวว่า บนรถมีเข็มขัดนิรภัยแล้ว เหตุใดจึงต้องใช้คาร์ซีทอีก อย่างที่เราทุกคนต่างรู้กันว่า เข็มขัดนิรภัยนั้นได้ออกแบบมาเพื่อให้ความปลอดภัยแก่ผู้ใหญ่เท่านั้น ไม่ใช่สำหรับเด็ก เพราะเข็มขัดนิรภัยจะต้องพาดจากไหล่ ผ่านทรวงอก มาที่บริเวณกระดูกเชิงกรานของผู้ใหญ่ สำหรับเด็กซึ่งมีขนาดร่างกายที่เล็กกว่า เข็มขัดนิรภัยจึงไม่อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม ไม่สามารถยึดเด็กไว้กับที่นั่งได้ จึงเป็นสาเหตุให้เด็กๆไม่ปลอดภัยและเกิดอันตรายได้ ดังนั้นเพื่อป้องกันการเกิดอันตรายกับเด็กๆ จึงต้องมีการสร้างสุดยอดนวัตกรรมใหม่อย่างคาร์ซีทขึ้น โดยออกแบบมาสำหรับเด็กโดยเฉพาะ ซึ่งมาพร้อมกับระบบเข็มขัดที่ยึดติดกับที่นั่ง ดังนั้นคิดว่าคาร์ซีทจึงเป็นตัวช่วยการเดินทางที่อยากแนะนำให้ทุกคนมีใช้ติดรถ
ประเภทของคาร์ซีท
การเลือกซื้อคาร์ซีทต้องคำนึงถึงอายุ ขนาดตัว และน้ำหนักของเด็ก โดยแบ่งออกเป็น 3 ประเภท ดังนี้
1. Rearward Facing Seats (แบบหันหน้าเข้าหาเบาะ)
คาร์ซีทประเภทนี้เหมาะกับเด็กช่วงอายุ 0-2 ปี ซึ่งได้ออกแบบให้สามารถปกป้องศีรษะ คอ และกระดูกสันหลังของทารกได้ดีกว่าคาร์ซีทที่หันไปด้านหน้า ไม่แนะนำให้ติดตั้งคาร์ซีทตรงที่นั่งข้างคนขับข้างหน้า เพราะมีถุงลมนิรภัยอยู่ ซึ่งเมื่อเกิดอุบัติเหตุถุงลมจะดันออกมา ส่งผลให้เกิดอันตรายแก่เด็กได้ แต่หากคุณอยากติดตั้งคาร์ซีทไว้ตรงที่นั่งข้างคนขับเพื่อความสบายใจ สามารถเห็นลูกๆในสายตา ก็อย่าลืมปิดการทำงานของถุงลมนิรภัยเพื่อความปลอดภัยด้วยนะคะ
2. Forward Facing Seats (แบบหันหน้าออกจากเบาะ)
คาร์ซีทประเภทนี้เหมาะกับเด็กช่วงอายุ 2-7 ปี ซึ่งได้ออกแบบให้มีสายรัดจำกัดการเคลื่อนที่ไปข้างหน้าของเด็กในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุ และยังมาพร้อมกับสายรัดสำหรับการยึดที่นั่งไว้ด้วย จะมีขนาดที่ใหญและกว้างขึ้นจากแบบแรก เพื่อรองรับน้ำหนักและส่วนสูงของเด็กได้มากขึ้น
3. Booster Seats
คาร์ซีทประเภทนี้เหมาะกับเด็กช่วงอายุ 4-12 ปี เป็นคาร์ซีทสำหรับเด็กที่มีขนาดตัวโตเกินกว่าขนาดของคาร์ซีทธรรมดา แต่ยังไม่โตพอที่จะสามารถใช้เข็มขัดนิรภัยได้เต็มที่ สายคาดควรพาดผ่านกระดูกเชิงกราน หน้าอก และไหล่ของเด็ก ส่วนเข็มขัดคาดเอวควรพาดผ่านอุ้งเชิงกรานโดยให้เส้นทแยงมุมอยู่เหนือไหล่ไม่ใช่ที่คอ
วิธีเลือกซื้อคาร์ซีท
การเลือกซื้อคาร์ซีทควรคำนึงถึงหลายปัจจัยเพื่อให้คาร์ซีทสามารถป้องกันการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด
- เลือกประเภทตามอายุ น้ำหนัก และขนาดตัวของเด็ก ตามประเภทต่างๆที่เหมาะกับอายุ น้ำหนัก และขนาดตัวของเด็ก โดยที่ห้ามให้ตัวเด็กสูงกว่าคาร์ซีทเด็ดขาด
- เลือกแบบติดตั้งถาวรหรือแบบเคลื่อนย้ายได้ การเลือกคาร์ซีทแบบติดตั้งถาวรเหมาะกับการใช้แบบระยะยาว ไม่ต้องถอดเข้าถอดออกและมีความปลอดภัยสูง แต่มีข้อเสียคือมักจะหมุนไม่ได้และมีราคาสูงกว่า ส่วนคาร์ซีทแบบเคลื่อนย้ายได้สามารถใช้งานได้อิสระกว่า นำไปใช้กับรถเข็นเด็กก็ได้
- เลือกที่มีสัญลักษณ์มาตรฐานความปลอดภัยสากล สามารถเลือกซื้อคาร์ซีทที่มีมาตรฐานได้จากสัญลักษณ์ความปลอดภัย เช่น ECE R44/04 มาตรฐานของสหภาพยุโรปหรือ FMVSS 213 มาตรฐานประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นต้น
- เลือกที่เหมาะสมกับรถยนต์ โดยสิ่งที่สำคัญที่สุดคือการเช็คอุปกรณ์ติดตั้ง เช็คว่าคาร์ซีทที่คุณต้องการออกแบบมาสำหรับเข็มขัดนิรภัยกี่จุด และรถของคุณสามารถติดตั้งได้ตามนั้นหรือไม่
กฎหมายคาร์ซีทที่ควรรู้
อย่างที่รู้กันแล้วว่ากฎหมายคาร์ซีท เริ่มมีผลบังคับใช้ ตั้งแต่วันที่ 17 สิงหาคม 2566 โดยกฎหมายคาร์ซีท กำหนดให้เด็กอายุไม่เกิน 6 ปี ต้องมีคาร์ซีท (Car Seat) ระหว่างการโดยสารรถยนต์ หากไม่มีคาร์ซีท จะต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ 3 ข้อ ได้แก่
- ขับรถด้วยความเร็วช้า โดยคำนึงถึงความปลอดภัย และต้องขับชิดซ้าย
- ให้เด็กนั่งในที่นั่งโดยสารตอนหลัง (เบาะหลัง) ส่วนในกรณีรถกระบะ หรือกึ่งกระบะ ให้นั่งโดยสารตอนหน้าได้ แต่ห้ามนั่งท้ายกระบะ
- จัดให้มีผู้ดูแลเด็กในขณะโดยสาร หรือให้เด็กรัดเฉพาะเข็มขัดรัดหน้าตัก (อย่างใดอย่างหนึ่ง) หากฝ่าฝืนมีโทษปรับไม่เกิน 2,000 บาท
สรุปแล้วไม่ว่าอย่างไรก็ตามแต่ ทุกอย่างขึ้นอยู่ที่การตัดสินใจของเรา หากเราอยากออกเดินทาง ขับรถอย่างสบายใจ และคำนึงถึงความปลอดภัยของลูกๆ โดยที่เรามีคนมีกำลังที่จะซื้อคาร์ซีทมาให้ลูกๆได้นั่ง ราก็ควรทำอย่างยิ่ง เพราะเป็นการลงทุนเพื่อความปลอดภัยของลูกๆ เป็นการลงทุนที่ไม่สูญเปล่า และไม่ต้องมานั่งเสียใจในภายหลัง แต่ในทางกลับกันหากเราเป็นคนมีรายได้น้อย ไม่สามารถซื้อหาให้ลูกได้ เราก็เลือกปฏิบัติตามข้อยกเว้นที่กฏหมายได้กล่าวไว้ นั้นคือ ขับช้า เด็กนั่งที่นั่งตอนหลัง-ห้ามนั่งท้ายกระบะ และต้องมีผู้ดูแลเด็ก เราก็จะเป็นผู้ใหญ่ที่สามารถดูแลเด็กๆให้ปลอดภัยในการเดินทางได้เช่นกัน ขอให้เด็กๆทุกคนได้เดินทางอย่างปลอดภัย และมีความสุข